

ศัลยกรรมปลูกผมคืออะไร ?
ศัลยกรรมปลูกผม คือ การย้ายเส้นผมบริเวณที่มีความหนาแน่นและมีความแข็งแรง ไปยังบริเวณที่ผมบางหรือศีรษะล้าน โดยส่วนใหญ่มักจะใช้เส้นผมบริเวณท้ายทอย ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วงเป็นจำนวนมาก จนนำไปสู่ปัญหาผมร่วงแบบถาวร หรือศีรษะล้านสืบเนื่องมาจากพันธุกรรม ศัลยกรรมปลูกผมช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและมีการฟื้นตัวรวดเร็ว ปัจจุบันนี้มีเทคนิคการปลูกผมที่หลากหลายและปลอดภัยมากขึ้น ทำให้คนไข้ที่เข้ารับบริการ มั่นใจได้ว่าจะมีผลลัพธ์ได้ตามที่ต้องการ

กราฟผมคืออะไร ?
กราฟผม คือ กอรากผม ที่ถูกนำออกมาจากร่างกายบริเวณศีรษะ เพื่อรอการปลูกลงไปในตำแหน่งใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้วใน 1 กราฟจะมีเส้นผมประมาณ 1-4 เส้น โดยการปลูกผมแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟที่ต้องใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดของพื้นที่ที่ต้องการปลูกผม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูดีและเป็นธรรมชาติ

ศัลยกรรมปลูกผมมีเทคนิคอะไรบ้าง ?
ศัลยกรรมปลูกผม แบ่งออกได้เป็น 4 เทคนิค ดังนี้
- เทคนิค FUT (Follicular Unit Transplantation)
เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดย้ายเส้นผมโดยการตัดหนังศีรษะเป็นแถบจากบริเวณ Donor Area (บริเวณที่รากผมไม่ได้รับอิทธิผลจากฮอร์โมน ส่งผลให้เส้นผมบริเวณนี้มีความแข็งแรง) หรืออาจจะเป็นบริเวณท้ายทอย หลังจากนั้นจะนำเซลล์รากผมที่ได้ ไปปลูกในบริเวณที่มีปัญหา เช่น ผมบาง ศีรษะล้าน เป็นต้น แต่เทคนิคนี้ก็อาจจะทำให้มีแผลเป็นยาวที่บริเวณท้ายทอยได้ - เทคนิค FUE (Follicular Unit Extraction)
เทคนิคนี้เป็นการเจาะเอากราฟผมออกจากบริเวณ Donor Area ทีละกราฟด้วยเครื่องมือพิเศษ เป็นวิธีการย้ายเซลล์รากผมโดยที่ไม่ต้องตัดหนังศรีษะออก ทำให้ไม่เกิดแผลเป็นยาวเหมือนกับเทคนิค FUT หลังจากนั้นก็นำเซลล์รากผมที่ได้ ไปปลูกในบริเวณที่มีปัญหา เทคนิคนี้ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าเทคนิค FUT แต่ใช้เวลาทำงานนานกว่าการผ่าตัดแบบ FUT - เทคนิค AFUE (Advanced Follicular Unit Extraction)
เป็นการพัฒนาต่อยอดจากเทคนิค FUE โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและแม่นยำมากขึ้นในการเก็บกราฟ ทำให้มีความแม่นยำและลดความเสียหายของกราฟผม - เทคนิค DHI (Direct Hair Implantation)
เทคนิคนี้มีขั้นตอนคล้ายกับ FUE แต่ใช้เครื่องมือพิเศษที่สามารถเก็บกราฟและปลูกผมได้ทันทีในขั้นตอนเดียว โดยอาศัยเครื่องมือในการปลูกผม นั่นก็คือ ปากกาปลูกผม หรือ Implanter Pen โดยแพทย์จะนำกราฟผมมาจาก Donor Area หรือ บริเวณท้ายทอย นำมาใส่ปากกาปลูกผม และใช้ตัวปากกาปักลงไปในบริเวณที่ต้องการปลูกผมได้เลย ข้อดีคือกราฟจะไม่ต้องผ่านการจัดเก็บนาน ทำให้ผมที่ปลูกมีความแข็งแรงและมีโอกาสรอดสูง

การรักษาด้วยการปลูกผม ร่วมกับวิธีอื่น
การรักษาด้วยการปลูกผม สามารถทำร่วมกับวิธีอื่นได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลลัพธ์ให้ดีมากยิ่งขึ้น มีวิธี ดังนี้
- Red-Light Therapy : การรักษาด้วยแสงสีแดงช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศีรษะ และกระตุ้นรูขุมขนให้แข็งแรง ทำให้เส้นผมที่งอกขึ้นใหม่มีสุขภาพดี
- PRP (Platelet-Rich Plasma) : เป็นการฉีดพลาสม่าที่ได้จากเลือดของผู้เข้ารับการรักษาไปยังบริเวณหนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมและเร่งการฟื้นฟูของผิวหนัง ทำให้การปลูกผมฟื้นตัวเร็วขึ้น
- Exosome Therapy : การรักษาด้วย Exosome เป็นวิธีใหม่มี Growth Hormone สูง เพื่อช่วยกระตุ้น การเจริญเติบโตของเส้นผม ช่วยฟื้นฟูหนังศีรษะและเสริมสร้างเส้นผมที่แข็งแรง

ศัลยกรรมปลูกผมเหมาะกับใคร ?
ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์ ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีอื่นได้ เช่น การทานยา การเลเซอร์ การทำทรีทเม้นต์ หรือการใช้แชมพูต่าง ๆ ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านจากฮอร์โมน DHT ผู้ที่มีรอยแผลเป็นบริเวณศีรษะ ทำให้ผมแหว่ง ผู้ที่มีปัญหาผมบางจากการทำสารเคมีหรือการใช้ความร้อนต่าง ๆ

การเตรียมตัวก่อนศัลยกรรมปลูกผม
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ก่อนผ่าตัดปลูกผม 1-2 สัปดาห์
- งดยาและอาหารเสริม ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ก่อนผ่าตัดปลูกผม 1-2 สัปดาห์
- งดรับประทานยาแก้ปวด หรือยาแก้อักเสบก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- งดใช้สารที่ช่วยเรร่งการเจริญเติบโตของเส้นผมประมาณ 1-2 สัปดาห์
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- งดแต่งหน้าในวันที่เข้ารับการผ่าตัด
- งดดื่มชา กาแฟ 1 วันก่อนผ่าตัด
- หากมีโรคประจำตัว หรือประวัติการแพ้ยา ให้แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับการผ่าตัด

วิธีดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมปลูกผม
- สระผมให้ถูกวิธี ตามที่แพทย์ให้คำแนะนำ
- ไม่สัมผัสบริเวณที่เป็นแผล
- หลีกเลี่ยงการให้สะเก็ดแผลโดนน้ำ ประมาณ 1 สัปดาห์
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 เดือน เพราะอาจส่งผลให้หลอดเลือดหดตัว ทำให้แผลหายช้า
- นอนในท่ายกหัวสูง แนะนำให้หาหมอนรองคอมาใช้ หรือนอนตะแคง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนกดทับ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือก้มยกของหนัก ๆ
- งดทานอาหารหมักดอง หรือ อาหารที่มีรสเผ็ดจัด เพราะอาจจะส่งผลต่อการอักเสบของแผลได้
- ทานยาตามที่แพทย์แนะนำ